บทนำ
ในโลกของเครื่องปรับอากาศระบบ Inverter ที่ขึ้นชื่อเรื่องการประหยัดพลังงานและความสามารถในการทำความเย็นที่แม่นยำนั้น มีองค์ประกอบทางอิเล็กทรอนิกส์ชิ้นหนึ่งที่ทำงานอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ แต่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อประสิทธิภาพและเสถียรภาพของทั้งระบบ นั่นคือ “วงจร Reactor”
สำหรับช่างแอร์หลายท่าน หรือแม้แต่ผู้ใช้งานที่สนใจในเทคโนโลยี อาจเคยได้ยินชื่อหรือเห็นอุปกรณ์ชิ้นนี้บนแผงวงจรของคอยล์ร้อน (Condensing Unit) แต่ยังไม่เข้าใจถึงหลักการทำงานและหน้าที่ที่แท้จริงของมันอย่างลึกซึ้ง
บทความนี้จัดทำขึ้นโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญจาก Yellow Tech นครศรีธรรมราช ซึ่งมีประสบการณ์ในการซ่อมแอร์ Inverter และซ่อมบอร์ดแอร์ Inverter มาอย่างยาวนาน เราจะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงแก่นแท้ของวงจร Reactor ตั้งแต่หลักการทำงานพื้นฐาน หน้าที่ที่สำคัญ อาการเสียที่พบบ่อย ไปจนถึงวิธีการตรวจเช็คเบื้องต้น
เพื่อให้ท่านสามารถวิเคราะห์ปัญหาและเข้าใจการทำงานของแอร์ Inverter ได้อย่างมืออาชีพมากขึ้น การทำความเข้าใจในชิ้นส่วนนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การซ่อมแซมแม่นยำขึ้น แต่ยังเป็นการเพิ่มพูนองค์ความรู้ที่จำเป็นสำหรับเทคโนโลยีเครื่องปรับอากาศในปัจจุบันและอนาคตอีกด้วย
หลักการทำงานเบื้องต้นของ วงจร Reactor ในแอร์inverter
ก่อนที่จะลงลึกถึงการทำงานของวงจร Reactor เราต้องเข้าใจภาพรวมของการทำงานของแอร์ Inverter เสียก่อน หัวใจของระบบอินเวอร์เตอร์คือการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) จากไฟบ้าน ให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) และจากนั้นแปลงกลับไปเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) อีกครั้ง แต่เป็น AC ที่สามารถปรับเปลี่ยนความถี่ (Frequency) และแรงดัน (Voltage) ได้ เพื่อควบคุมความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์ ซึ่งวงจร Reactor มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในขั้นตอนการแปลงไฟฟ้านี้
วงจร Reactor ไม่ได้ทำงานโดยลำพัง แต่เป็นส่วนหนึ่งของวงจรที่ใหญ่กว่า เรียกว่า วงจร PFC (Power Factor Correction) หรือ “วงจรแก้ไขค่าประกอบกำลังไฟฟ้า” ซึ่งเป็นมาตรฐานในแอร์ Inverter รุ่นใหม่ๆ แทบทุกรุ่น
กระบวนการทำงานของวงจร PFC ที่มี Reactor เป็นส่วนประกอบหลัก สามารถอธิบายเป็นขั้นตอนได้ดังนี้:
ขั้นตอนที่ 1: การแปลงไฟ AC เป็น DC (Rectification)
- ไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) 220V จากไฟบ้านจะไหลผ่านวงจรกรองสัญญาณรบกวน (EMI Filter) ก่อนจะเข้าสู่อุปกรณ์ที่เรียกว่า บริดจ์เรกติไฟเออร์ (Bridge Rectifier)
- บริดจ์เรกติไฟเออร์จะทำหน้าที่แปลงไฟฟ้า AC ให้เป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) แต่ DC ที่ได้ในขั้นตอนนี้ยังไม่ใช่ DC ที่เรียบสนิท แต่เป็นลักษณะของคลื่นที่กระเพื่อม (Pulsating DC) และมีแรงดันสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 310V DC
ขั้นตอนที่ 2: บทบาทของ Reactor และการทำงานแบบสวิตชิ่ง (Reactor & Switching Operation)
- นี่คือขั้นตอนที่ Reactor (ซึ่งเป็นขดลวดเหนี่ยวนำ หรือ Inductor) เข้ามามีบทบาทสำคัญ
- ไฟฟ้า DC ที่ยังไม่เรียบจะไหลผ่านตัว Reactor
- ในขณะเดียวกัน วงจรควบคุม PFC จะสั่งการให้อุปกรณ์สวิตชิ่งความเร็วสูง เช่น IGBT (Insulated Gate Bipolar Transistor) หรือ MOSFET ทำการ “เปิด-ปิด” วงจรด้วยความถี่ที่สูงมาก (หลายหมื่นครั้งต่อวินาที)
- จังหวะที่ IGBT “เปิด” (ON): กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่าน Reactor ทำให้เกิดการสะสมพลังงานในรูปแบบของสนามแม่เหล็กขึ้นรอบๆ ตัว Reactor
- จังหวะที่ IGBT “ปิด” (OFF): สนามแม่เหล็กที่สะสมไว้ใน Reactor จะยุบตัวลง และปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแรงดันไฟฟ้าที่สูงขึ้น ซึ่งแรงดันนี้จะถูกส่งต่อไปยังขั้นตอนถัดไป
ขั้นตอนที่ 3: การเพิ่มแรงดันและทำให้แรงดันเรียบ (Voltage Boosting & Smoothing)
- พลังงานที่ถูกปล่อยออกจาก Reactor จะไหลผ่านไดโอดความเร็วสูง (Fast Recovery Diode) ไปยังตัวเก็บประจุขนาดใหญ่ (Smoothing Capacitor)
- ผลลัพธ์จากกระบวนการสวิตชิ่งและปล่อยพลังงานของ Reactor นี้ ทำให้แรงดันไฟฟ้า DC ที่เคยอยู่ราวๆ 310V ถูก “บูสต์” หรือ “ยก” ขึ้นไปอยู่ที่ระดับประมาณ 380V – 400V DC
- ตัวเก็บประจุจะทำหน้าที่กรองแรงดัน DC ที่ถูกบูสต์ขึ้นมานี้ให้เรียบสนิทและมีความเสถียร พร้อมที่จะจ่ายให้กับภาคต่อไปของวงจร นั่นคือ IPM (Intelligent Power Module) ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนคอมเพรสเซอร์

สรุปให้เข้าใจง่าย:
ลองจินตนาการว่า Reactor คือ “ชิงช้า” และ IGBT คือ “คนที่คอยผลักชิงช้า”
- ไฟฟ้าที่เข้ามาเปรียบเหมือนการที่เราดึงชิงช้า (Reactor) ไปข้างหลังเพื่อสะสมพลังงาน (สนามแม่เหล็ก)
- การที่ IGBT ปิดวงจร ก็เหมือนการที่เรา “ปล่อย” ชิงช้า ชิงช้าจะเหวี่ยงไปข้างหน้าและสูงขึ้นกว่าจุดเริ่มต้น
- กระบวนการนี้ทำซ้ำๆ ด้วยความเร็วสูงมาก ทำให้ได้ “พลังงาน” หรือ “แรงดันไฟฟ้า” ที่สูงขึ้นและต่อเนื่อง
การทำงานร่วมกันของ Reactor, IGBT, Diode และ Capacitor ในวงจร PFC นี้เอง ที่ทำให้แอร์ Inverter สามารถสร้างแรงดัน DC ที่สูงและมีเสถียรภาพ เพื่อป้อนให้กับ IPM ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คอมเพรสเซอร์สามารถทำงานได้อย่างเต็มกำลังและปรับรอบได้อย่างนุ่มนวล
หน้าที่สำคัญของวงจร Reactor ในแอร์ inverter
จากหลักการทำงานที่ซับซ้อนข้างต้น เราสามารถสรุปหน้าที่หลักที่สำคัญอย่างยิ่งยวดของวงจร Reactor ได้เป็นข้อๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าหากไม่มีอุปกรณ์ชิ้นนี้ จะเกิดผลกระทบอะไรกับระบบแอร์ Inverter บ้าง
1. การแก้ไขค่าประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor Correction – PFC)
- คือหน้าที่หลักและสำคัญที่สุด อุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป โดยเฉพาะที่มีมอเตอร์เป็นส่วนประกอบ มักจะดึงกระแสไฟฟ้าในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับแรงดัน (Lagging Current) ทำให้เกิดค่า Power Factor (PF) ที่ต่ำกว่า 1 ซึ่งหมายถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าที่ไม่มีประสิทธิภาพและสร้าง “ขยะ” ทางไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า สัญญาณรบกวนฮาร์มอนิก (Harmonic Distortion) กลับเข้าไปในระบบสายส่งของการไฟฟ้า
- วงจร PFC ที่มี Reactor เป็นหัวใจ จะทำการ “จัดระเบียบ” รูปคลื่นของกระแสไฟฟ้าที่ดึงจากไฟบ้าน ให้มีลักษณะใกล้เคียงกับรูปคลื่นของแรงดันไฟฟ้ามากที่สุด ทำให้ค่า Power Factor เข้าใกล้ 1 (โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 0.98-0.99)
- ผลดีคือ:
- ประหยัดพลังงาน: ลดการสูญเสียพลังงานในระบบสายไฟ
- เป็นมิตรต่อระบบไฟฟ้า: ลดการสร้างสัญญาณรบกวนกลับไปยังสายส่ง ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานสากลด้านการประหยัดพลังงานและสิ่งแวดล้อม
การเพิ่มแรงดันไฟฟ้า (Voltage Boosting)
- ดังที่อธิบายในหลักการทำงาน หน้าที่ที่เห็นได้ชัดเจนคือการ “ยก” แรงดัน DC จากประมาณ 310V ให้สูงขึ้นเป็น 380-400V
- ทำไมต้องเพิ่มแรงดัน? โมดูล IPM ที่ใช้ขับคอมเพรสเซอร์แบบ 3 เฟสในแอร์ Inverter ต้องการแรงดัน DC ที่สูงและคงที่ เพื่อที่จะสร้างไฟฟ้า AC 3 เฟสที่มีแรงดันและรูปคลื่นที่สมบูรณ์แบบไปขับเคลื่อนมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกช่วงความเร็วรอบ หากแรงดันต่ำเกินไป IPM อาจทำงานผิดพลาดหรือไม่สามารถเร่งรอบคอมเพรสเซอร์ให้ทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว
3. การกรองและลดสัญญาณรบกวน (Filtering and Noise Reduction)
- การทำงานแบบสวิตชิ่งความเร็วสูงของ IGBT ในวงจร PFC นั้น สร้างสัญญาณรบกวนความถี่สูง (EMI – Electromagnetic Interference) ขึ้นมา
- ตัว Reactor เอง ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นขดลวดเหนี่ยวนำ จะทำหน้าที่เป็น “ตัวกรอง” ตามธรรมชาติ ช่วยลดทอนและป้องกันไม่ให้สัญญาณรบกวนความถี่สูงเหล่านี้เล็ดลอดกลับเข้าไปรบกวนระบบไฟฟ้าในบ้าน หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่ใช้ไฟร่วมกัน
4. การจำกัดกระแสกระชาก (Inrush Current Limiting)
- ในจังหวะที่เปิดเครื่องปรับอากาศครั้งแรก ตัวเก็บประจุขนาดใหญ่ในวงจรจะดึงกระแสไฟฟ้าจำนวนมากในชั่วขณะ เพื่อชาร์จประจุให้เต็ม ซึ่งเรียกว่า “กระแสกระชาก” (Inrush Current)
- กระแสที่สูงเกินไปนี้อาจสร้างความเสียหายให้กับบริดจ์เรกติไฟเออร์หรือทำให้ฟิวส์ขาดได้ ตัว Reactor ที่ต่ออนุกรมอยู่ในวงจร จะช่วยต้านการเปลี่ยนแปลงของกระแสอย่างฉับพลัน ทำให้กระแสกระชากลดลง เป็นการปกป้องอุปกรณ์ในวงจรให้มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
การสร้างเสถียรภาพให้กับระบบ (System Stabilization)
- วงจร PFC ช่วยให้แรงดัน DC Bus Link (ไฟ 380V) ที่จ่ายให้ IPM มีความนิ่งและเสถียรอย่างมาก แม้ว่าแรงดันไฟฟ้า AC จากไฟบ้านจะเกิดการ fluctuation หรือตกหล่นไปบ้างเล็กน้อย (เช่น ไฟตกจาก 220V เหลือ 200V)
- ความเสถียรนี้ทำให้การทำงานของคอมเพรสเซอร์เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่สะดุด และป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับ IPM และคอมเพรสเซอร์จากสภาวะแรงดันไฟไม่คงที่
หน้าที่ของ Reactor | คำอธิบายโดยย่อ | ผลกระทบต่อระบบแอร์ Inverter |
Power Factor Correction | จัดระเบียบรูปคลื่นกระแสให้สอดคล้องกับแรงดัน | ประหยัดพลังงานสูงสุด ลดสัญญาณรบกวนในระบบไฟ |
Voltage Boosting | เพิ่มแรงดัน DC จาก 310V เป็น 380V | ทำให้ IPM และคอมเพรสเซอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ |
Noise Filtering | กรองสัญญาณรบกวนจากการสวิตชิ่ง | ป้องกันการรบกวนอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นในบ้าน |
Inrush Current Limiting | ชะลอการดึงกระแสไฟในช่วงเปิดเครื่อง | ปกป้องบริดจ์เรกติไฟเออร์และฟิวส์ ยืดอายุการใช้งาน |
System Stabilization | รักษาแรงดัน DC ให้นิ่งและคงที่ | ทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานราบรื่นแม้ไฟบ้านไม่เสถียร |
จะเห็นได้ว่า Reactor ไม่ใช่แค่ “ขดลวด” ธรรมดา แต่เป็นองค์ประกอบเชิงกลยุทธ์ที่ผู้ออกแบบแผงวงจรใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มทั้งประสิทธิภาพ, ความทนทาน, และเสถียรภาพให้กับการทำงานของแอร์ Inverter อย่างแท้จริง การขาดหายไปหรือการทำงานที่ผิดพลาดของมันจึงส่งผลกระทบต่อระบบโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตัวอย่างวงจร Reactor ในแอร์ LG และ Mitsubishi Electric
เพื่อให้เห็นภาพการใช้งานจริง ทีมงาน Yellow Tech ขอยกตัวอย่างการออกแบบและลักษณะของวงจร Reactor ในเครื่องปรับอากาศ 2 แบรนด์ยอดนิยมที่พบได้บ่อยในตลาด ซึ่งก็คือ LG และ Mitsubishi Electric ซึ่งทั้งสองแบรนด์ต่างก็มีแนวทางในการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
กรณีศึกษา: วงจร Reactor ในแอร์ Mitsubishi Electric (Mr. Slim)
Mitsubishi Electric ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยี Inverter และมักจะออกแบบแผงวงจรที่มีความทนทานและซับซ้อน
ลักษณะทางกายภาพ:
- Reactor ในแอร์ Mitsubishi มักจะมีลักษณะเป็น ขดลวด Toroid (รูปโดนัท) สีเหลืองสดหรือสีเข้ม พันอยู่บนแกนเฟอร์ไรต์อย่างแน่นหนา
- มักจะถูกติดตั้งไว้อย่างแข็งแรงบนแผงวงจรของคอยล์ร้อน (Outdoor Unit PCB) ในบริเวณใกล้เคียงกับบริดจ์เรกติไฟเออร์, PFC IGBT และตัวเก็บประจุขนาดใหญ่
- ขนาดของ Reactor จะแตกต่างกันไปตามขนาด BTU ของเครื่องปรับอากาศ ยิ่ง BTU สูง ขนาดของ Reactor ก็จะใหญ่และขดลวดก็จะหนาขึ้นตามไปด้วยเพื่อรองรับกระแสที่สูงขึ้น
การออกแบบวงจร:
- Mitsubishi มักจะใช้วงจร PFC ที่ควบคุมด้วย IC Controller เฉพาะทางที่มีความแม่นยำสูง
- การวางตำแหน่งอุปกรณ์จะคำนึงถึงการระบายความร้อนเป็นอย่างดี โดย PFC IGBT มักจะถูกยึดติดกับแผ่นระบายความร้อน (Heatsink) แผ่นเดียวกับ IPM
- จากประสบการณ์การซ่อมบอร์ดแอร์ Inverter ของทีมช่าง Yellow Tech พบว่าวงจรของ Mitsubishi มีความเสถียรสูง แต่อุปกรณ์ที่มักจะเสียหายร่วมกับ Reactor คือ PFC IGBT และไดโอดข้างเคียง หากเกิดการลัดวงจรขึ้น

กรณีศึกษา: วงจร Reactor ในแอร์ LG (Dual Inverter)
LG เป็นอีกแบรนด์ที่โดดเด่นในด้านเทคโนโลยี Inverter โดยเฉพาะระบบ Dual Inverter ที่ใช้คอมเพรสเซอร์แบบโรตารี่คู่ ซึ่งก็ต้องการระบบจ่ายไฟที่ทรงพลังและมีเสถียรภาพเช่นกัน
ลักษณะทางกายภาพ:
- Reactor ของ LG อาจมีลักษณะที่หลากหลายกว่า บางรุ่นอาจใช้แบบ Toroid คล้ายกับ Mitsubishi แต่ในหลายๆ รุ่น โดยเฉพาะรุ่นใหม่ๆ อาจพบ Reactor ที่มีลักษณะเป็น ทรงกระบอกหรือทรงสี่เหลี่ยม (Bobbin type) ที่มีฉนวนหุ้มอย่างดี
- สีสันอาจเป็นสีดำ, สีน้ำเงิน หรือสีอื่นๆ ตำแหน่งการติดตั้งยังคงอยู่ในโซนของ Power Supply ใกล้กับส่วนประกอบ PFC อื่นๆ
การออกแบบวงจร:
- LG มีการออกแบบวงจร PFC ที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อรองรับการทำงานของคอมเพรสเซอร์ Dual Inverter
- จุดเด่นอย่างหนึ่งของ LG คือระบบการแจ้งเตือนโค้ดที่ค่อนข้างละเอียด หากเกิดความผิดปกติในวงจร PFC เช่น แรงดัน DC Link ต่ำหรือสูงเกินไป แอร์มักจะแสดง Error Code (เช่น CH05, CH21, CH26) ที่หน้าจอคอยล์เย็นหรือแสดงผ่านไฟกระพริบที่แผงคอยล์ร้อน ซึ่งช่วยให้ช่างสามารถจำกัดวงของปัญหาให้แคบลงได้ง่ายขึ้น
- ในการซ่อมบอร์ดแอร์ LG ทีมช่างของเรามักจะเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบแรงดันไฟ DC 380V และตรวจสอบโค้ดแจ้งเตือน ซึ่งมักจะชี้เป้ามาที่ความล้มเหลวของวงจร PFC ได้ค่อนข้างแม่นยำ

Q&A: ถาม-ตอบ กับช่าง Yellow Tech
คำถาม: Reactor ของทั้งสองยี่ห้อสามารถใช้แทนกันได้หรือไม่?
คำตอบ: ไม่สามารถใช้แทนกันได้โดยเด็ดขาด ถึงแม้จะมีหน้าที่เหมือนกัน แต่ Reactor แต่ละตัวถูกออกแบบมาให้มีค่าความเหนี่ยวนำ (Inductance) และความสามารถในการทนกระแส (Current Rating) ที่จำเพาะเจาะจงสำหรับวงจรนั้นๆ การนำ Reactor ที่มีค่าไม่ตรงกันมาใส่ อาจทำให้วงจรทำงานผิดพลาด, ไม่มีประสิทธิภาพ, หรือเลวร้ายที่สุดคือสร้างความเสียหายให้กับ IGBT และส่วนประกอบอื่นๆ ในวงจรได้ การเปลี่ยนต้องใช้เบอร์เดิมหรือตัวที่มีสเปคเทียบเท่าที่ผู้ผลิตกำหนดเท่านั้น
คำถาม: ทำไม Reactor ถึงต้องมีขนาดใหญ่?
คำตอบ: ขนาดของ Reactor สัมพันธ์โดยตรงกับปริมาณพลังงานที่มันต้องสะสมและคายออกมาในแต่ละรอบของการสวิตชิ่ง แอร์ที่มีขนาด BTU สูงต้องการกำลังไฟฟ้าในการขับเคลื่อนคอมเพรสเซอร์มากกว่า จึงต้องใช้ Reactor ที่มีแกนเฟอร์ไรต์ขนาดใหญ่และขดลวดที่หนาขึ้น เพื่อให้สามารถสะสมพลังงานแม่เหล็กได้มากขึ้นและทนต่อกระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้นโดยไม่เกิดความร้อนสะสมจนเกินไป
อาการแอร์ เมื่อวงจร Reactor เสีย
การที่ Reactor ซึ่งเป็นหัวใจของวงจร PFC เสียหาย จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่และทำให้เครื่องปรับอากาศแสดงอาการผิดปกติออกมาอย่างชัดเจน การทำความเข้าใจอาการเหล่านี้จะช่วยให้ช่างแอร์สามารถวินิจฉัยปัญหาได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น จากประสบการณ์ของ Yellow Tech นครศรีธรรมราช เราได้รวบรวมอาการเสียที่พบบ่อยซึ่งมีสาเหตุมาจาก Reactor หรือวงจร PFC ล้มเหลวไว้ดังนี้
อาการที่ 1: แอร์ไม่ทำงานเลย, ไฟไม่เข้า, เปิดไม่ติด
- คำอธิบาย: นี่เป็นหนึ่งในอาการที่รุนแรงที่สุด มักเกิดจากการที่ขดลวดภายใน Reactor เกิดการ “ลัดวงจร” หรือ “ชอร์ต” ถึงกัน ทำให้มันสูญเสียคุณสมบัติความเป็นขดลวดเหนี่ยวนำ และกลายเป็นเหมือนแค่ลวดตัวนำธรรมดาที่มีความต้านทานต่ำมาก
- กลไก: เมื่อเกิดการลัดวงจร จะมีกระแสไฟฟ้าจำนวนมหาศาลไหลผ่านวงจรในทันทีที่เปิดเครื่อง ซึ่งจะทำให้ ฟิวส์ (Fuse) บนแผงวงจรหรือเบรกเกอร์ของบ้านตัดการทำงานเพื่อป้องกันความเสียหายที่รุนแรงกว่าเดิม ดังนั้น เมื่อพบว่าฟิวส์บนบอร์ดขาด ให้สงสัยวงจรภาคจ่ายไฟ ซึ่งรวมถึง Reactor และ PFC IGBT ไว้ก่อนเป็นอันดับแรกๆ
อาการที่ 2: คอมเพรสเซอร์ไม่ทำงาน หรือทำงานแล้วตัดดับ
- คำอธิบาย: นี่คืออาการยอดฮิตที่สุดของวงจร PFC เสียหาย ในกรณีนี้ แอร์อาจจะยังเปิดติด พัดลมคอยล์เย็นทำงาน แต่เมื่อถึงจังหวะที่ระบบสั่งให้คอมเพรสเซอร์ที่คอยล์ร้อนเริ่มทำงาน คอมเพรสเซอร์อาจจะไม่สตาร์ทเลย หรือพยายามสตาร์ทแล้วก็ตัดดับไปในเวลาสั้นๆ (ประมาณ 3-10 วินาที)
- กลไก: สาเหตุมักมาจากการที่ Reactor “ขาด” (Open Circuit) คือขดลวดภายในขาดออกจากกัน ทำให้กระแสไฟฟ้าไม่สามารถไหลผ่านได้ หรืออาจเกิดจากส่วนประกอบอื่นในวงจร PFC (เช่น IGBT, Diode) เสียหาย ส่งผลให้วงจร PFC ไม่สามารถ “บูสต์” แรงดัน DC ให้สูงถึง 380V ได้
- เมื่อ IPM ตรวจสอบพบว่าแรงดัน DC Bus Link ที่ได้รับนั้นต่ำกว่าค่ามาตรฐาน (เช่น วัดได้แค่ 310V) ระบบป้องกันของมันจะทำงานทันที โดยจะตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์เพื่อป้องกันความเสียหาย ทำให้เกิดอาการ “คอมฯ ไม่สตาร์ท หรือสตาร์ทแล้วตัด” นั่นเอง
อาการที่ 3: แอร์ขึ้นโค้ดแจ้งเตือน (Error Code)
- คำอธิบาย: แอร์ Inverter รุ่นใหม่ๆ มีระบบวินิจฉัยตัวเองที่ชาญฉลาด เมื่อเกิดความผิดปกติในวงจร PFC ระบบจะแจ้งเตือนเป็นรหัสข้อผิดพลาดให้ผู้ใช้หรือช่างทราบ
- ตัวอย่างโค้ดที่พบบ่อย:
- แอร์ LG: มักจะขึ้นโค้ด CH05 (Communication Error) ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในนั้นคือภาคจ่ายไฟของบอร์ดคอยล์ร้อนมีปัญหา หรืออาจขึ้นโค้ดที่เกี่ยวข้องกับแรงดันโดยตรงเช่น CH21 (IPM Fault / DC Peak) หรือ CH26 (DC Compressor Position Error)
- แอร์ Mitsubishi: อาจไม่มีหน้าจอแสดงโค้ดโดยตรง แต่จะแจ้งเตือนผ่าน การกระพริบของไฟ LED บนแผงวงจรคอยล์ร้อน ซึ่งช่างต้องเทียบรูปแบบการกระพริบกับคู่มือบริการ (Service Manual) เพื่อแปลความหมาย ซึ่งมักจะมีรหัสที่ระบุถึง “PFC Failure” หรือ “DC Link Voltage Error”
- การตรวจสอบ Error Code เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์งานซ่อมแอร์ Inverter
อาการที่ 4: มีเสียงดังผิดปกติจากคอยล์ร้อน
- คำอธิบาย: ในบางกรณีที่ Reactor เริ่มเสื่อมสภาพ แต่ยังไม่ถึงกับชอร์ตหรือขาดโดยสมบูรณ์ อาจเกิดเสียง “หึ่ง”, “คราง” หรือ “จี่” ที่ดังผิดปกติออกมาจากตัว Reactor โดยตรง
- กลไก: เสียงนี้มักเกิดจากการสั่นสะเทือนของขดลวดที่อาจจะหลวมหรือไม่แน่นเหมือนเดิม หรือเกิดจากการอาร์คภายในของขดลวดเมื่อมีกระแสไหลผ่าน หากได้ยินเสียงลักษณะนี้จากแผงวงจร ควรพิจารณาตรวจสอบ Reactor และวงจร PFC โดยละเอียด เพราะเป็นสัญญาณเตือนว่ากำลังจะเกิดความเสียหายที่รุนแรงขึ้น
การเชื่อมโยงอาการเหล่านี้เข้ากับความรู้เรื่องการทำงานของวงจร Reactor จะทำให้ช่างสามารถตั้งสมมติฐานและวางแผนการตรวจเช็คได้อย่างมีทิศทาง ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการตรวจสอบส่วนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะนำไปสู่การซ่อมที่รวดเร็วและตรงจุด ซึ่งเป็นหัวใจของงานบริการจาก Yellow Tech

การตรวจเช็ค วงจร Reactor เบื้องต้น
หลังจากที่ประเมินอาการเสียและตั้งสมมติฐานว่าปัญหาอาจเกิดจากวงจร Reactor หรือวงจร PFC แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการลงมือตรวจเช็คเพื่อยืนยัน ทีมช่าง Yellow Tech ขอนำเสนอขั้นตอนการตรวจสอบเบื้องต้นที่ช่างแอร์สามารถทำได้เอง อย่างไรก็ตาม คำเตือนที่สำคัญที่สุด คือ:
!!! ข้อควรระวังสูงสุด !!!
การทำงานกับแผงวงจรแอร์ Inverter มีความเสี่ยงสูงจากไฟฟ้าแรงสูงที่ค้างอยู่ในตัวเก็บประจุ (Capacitor) ซึ่งอาจมีแรงดันสูงถึง 400V DC แม้จะถอดปลั๊กไฟออกแล้วก็ตาม ก่อนการสัมผัสหรือวัดอุปกรณ์ใดๆ บนแผงวงจร จะต้องทำการ “คายประจุ” (Discharge) ออกจากตัวเก็บประจุให้หมดก่อนเสมอ โดยใช้อุปกรณ์ที่ถูกต้อง เช่น หลอดไฟหรือตัวต้านทานค่าสูง การไม่ปฏิบัติตามอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หากไม่มั่นใจในความปลอดภัย ควรส่งให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการซ่อมบอร์ดแอร์ Inverter โดยตรง เช่น บริการของ Yellow Tech นครศรีธรรมราช
เมื่อมั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว สามารถเริ่มการตรวจเช็คได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้
การตรวจสอบด้วยสายตา (Visual Inspection)
- นี่คือขั้นตอนที่ง่ายที่สุดแต่ทรงพลังที่สุด ให้ใช้สายตาสำรวจที่ตัว Reactor และบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด สิ่งที่ต้องมองหาคือ:
- รอยไหม้, คราบเขม่า: สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการลัดวงจรหรือความร้อนสูงเกินไป
- รอยแตก, บิ่น: แกนเฟอร์ไรต์ที่แตกหักจะทำให้ค่าความเหนี่ยวนำผิดเพี้ยนไป
- การบวม, การละลาย: ฉนวนที่หุ้มขดลวดหรือตัว Reactor บวมหรือละลายจากความร้อน
- ขดลวดโผล่หรือมีสีคล้ำผิดปกติ: ฉนวนของขดลวดอาจเสื่อมสภาพจนเห็นลวดทองแดง หรือลวดทองแดงเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ
- นอกจากตัว Reactor แล้ว ให้ตรวจดูอุปกรณ์ข้างเคียงด้วย เช่น PFC IGBT, Diode, และลายวงจรบริเวณนั้น ว่ามีรอยไหม้หรือความเสียหายอื่น ๆ หรือไม่
การวัดค่าความต้านทาน (Resistance Check)
- ถอดสายไฟออกจากแผงวงจร และทำการคายประจุให้เรียบร้อย
- ใช้สายวัดของมัลติมิเตอร์จิ้มที่ขาของ Reactor ทั้งสองข้าง (หากอยู่บนบอร์ด อาจจะต้องปลดขาข้างหนึ่งออกจากลายวงจรเพื่อให้วัดค่าได้แม่นยำ)
- การแปลผล:
- ค่าที่ถูกต้อง: Reactor โดยพื้นฐานคือขดลวด ดังนั้นค่าความต้านทานที่วัดได้ควรจะ ต่ำมาก เกือบเป็น 0 โอห์ม (เช่น 0.1 – 1 โอห์ม) ซึ่งแสดงว่าขดลวดยังมีความต่อเนื่อง (Continuity)
- ค่าที่ผิดปกติ (ขาด): หากมิเตอร์แสดงค่าเป็น O.L. (Open Loop) หรือ ∞ (Infinity) หมายความว่าขดลวดภายใน “ขาด” จากกัน ไม่สามารถนำไฟฟ้าได้ ต้องเปลี่ยนสถานเดียว
- ค่าที่ผิดปกติ (ลัดวงจร): การวัดด้วยโอห์มมิเตอร์อาจไม่สามารถยืนยันการลัดวงจรภายในได้ 100% เพราะค่าปกติก็ต่ำมากอยู่แล้ว แต่หากพบรอยไหม้ร่วมด้วย ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะลัดวงจร
การวัดค่าความเหนี่ยวนำ (Inductance Check) – สำหรับช่างขั้นสูง
เครื่องมือ: LCR Meter (เครื่องวัด L-Inductance, C-Capacitance, R-Resistance)
วิธีการ:
- ขั้นตอนนี้จำเป็นต้องถอด Reactor ออกจากแผงวงจร
- ตั้งค่า LCR Meter ไปที่ย่านวัดค่าความเหนี่ยวนำ (มีหน่วยเป็น Henry, H) โดยมักจะใช้หน่วยย่อยเป็น มิลลิเฮนรี่ (mH) หรือ ไมโครเฮนรี่ (µH)
- นำ Reactor มาต่อเข้ากับเครื่องวัดและอ่านค่า
การแปลผล:
- ค่าที่วัดได้จะต้อง ตรงกับค่าที่ระบุไว้บนตัว Reactor หรือในคู่มือบริการของแอร์รุ่นนั้นๆ
- หากค่าที่วัดได้ต่ำกว่าค่ามาตรฐานมาก หรือวัดค่าไม่ได้เลย แสดงว่า Reactor เสื่อมสภาพหรือเสียหายจากการลัดวงจรภายใน (Internal Short) ซึ่งการวัดด้วยโอห์มมิเตอร์ธรรมดาอาจตรวจไม่พบ
- การตรวจสอบด้วย LCR Meter เป็นวิธีที่แม่นยำและน่าเชื่อถือที่สุดในการตัดสินว่า Reactor ดีหรือเสีย
การตรวจสอบวงจรโดยรอบ (Checking Surrounding Components)
- ดังที่กล่าวไป ความเสียหายของ Reactor มักไม่เกิดโดยลำพัง สิ่งที่ต้องตรวจสอบควบคู่กันไปเสมอคือ:
- ฟิวส์ (Fuse): ขาดหรือไม่?
- บริดจ์เรกติไฟเออร์ (Bridge Rectifier): ชอร์ตหรือขาดหรือไม่? (สามารถวัดไดโอดภายในได้)
- PFC IGBT: ชอร์ตระหว่างขาหรือไม่? (วัดความต้านทานระหว่างขา Collector-Emitter)
- PFC Diode: ชอร์ตหรือขาดหรือไม่? (วัดเหมือนไดโอดทั่วไป)
- การซ่อมบอร์ดแอร์ Inverter ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยน Reactor ที่เสีย แต่ต้องหาและเปลี่ยนอุปกรณ์อื่นที่เสียหายร่วมด้วยให้ครบถ้วน มิฉะนั้นเมื่อใส่ตัวใหม่เข้าไป ก็อาจจะพังซ้ำอีกในทันที
สำหรับช่างแอร์ที่ไม่มีเครื่องมือขั้นสูงอย่าง LCR Meter หรือไม่ชำนาญในการไล่วงจรและเปลี่ยนอุปกรณ์บนแผง PCB ที่ซับซ้อน บริการรับซ่อมบอร์ดแอร์ Inverter ของ Yellow Tech นครศรีธรรมราช คือคำตอบ
เรามีทั้งเครื่องมือที่ทันสมัยและทีมช่างผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมจะตรวจซ่อมแผงวงจรของท่านให้กลับมาทำงานได้เหมือนใหม่ พร้อมการรับประกันงานซ่อม เพื่อความมั่นใจและจบปัญหาได้อย่างแท้จริง
สรุป
วงจร Reactor คือหนึ่งในองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้ในเทคโนโลยีเครื่องปรับอากาศระบบ Inverter สมัยใหม่ มันไม่ใช่เพียงขดลวดธรรมดา แต่เป็นหัวใจของวงจร PFC ที่ทำหน้าที่สำคัญหลายประการ
ตั้งแต่ การแก้ไขค่าประกอบกำลังไฟฟ้า เพื่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ, การเพิ่มแรงดันไฟฟ้า ให้สูงพอสำหรับขับเคลื่อนคอมเพรสเซอร์, ไปจนถึง การกรองสัญญาณรบกวน และ ปกป้องอุปกรณ์ ในวงจร
การทำความเข้าใจในหลักการทำงาน, หน้าที่, อาการเสียที่เกี่ยวข้อง, และวิธีการตรวจเช็คเบื้องต้นที่ Yellow Tech นครศรีธรรมราช ได้รวบรวมและนำเสนอในบทความนี้
จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับช่างเทคนิคในการวินิจฉัยและซ่อมแอร์ Inverter ได้อย่างแม่นยำและเป็นระบบมากขึ้น การทราบว่าอาการคอมเพรสเซอร์ไม่ทำงานหรือขึ้น Error Code อาจมีต้นตอมาจากความล้มเหลวของวงจรเล็กๆ นี้ จะช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความเป็นมืออาชีพในงานบริการ
ท้ายที่สุดนี้ แม้การเรียนรู้เพื่อทำความเข้าใจจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การลงมือซ่อมแซมแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับไฟฟ้าแรงสูงนั้นจำเป็นต้องอาศัยทั้งความรู้, ทักษะ, และเครื่องมือที่เหมาะสม หากท่านเป็นช่างแอร์หรือผู้ใช้งานในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและภาคใต้ ที่กำลังประสบปัญหากับแอร์ Inverter
หรือต้องการซ่อมบอร์ดแอร์ทุกชนิด ทุกอาการเสีย อย่าลังเลที่จะติดต่อทีมงานผู้เชี่ยวชาญของเราที่ Yellow Tech เราพร้อมให้บริการด้วยความเป็นมืออาชีพและรับประกันคุณภาพ เพื่อให้เครื่องปรับอากาศของท่านกลับมาทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง